วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

บทบาทหน้าที่ของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีต่อแนวความคิดในการบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุดในสถานศึกษา

จากบทเรียนที่ผู้เรียนได้ศึกษา ทำให้ได้ทราบถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบันที่มีผลต่อการดำเนินชิตประจำวันของคนเราในทุกภาคส่วนราชการ ที่จำเป็นต้องมีการระบบสารสนเทศให้ทันสมัยทันต่อเหตุการณ์ของสังคมโลกในยุคโลกาภิวัตน์ เพราะฉะนั้นเมื่อผู้เรียนมีความรู้สึกนึกคิดที่เกิดอยากเป็นผู้บริหารขึ้นมาจึงจำเป็นที่จะต้องมีการเรียนรู้ในเรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศไว้ เพื่อการพัฒนาองค์กรของตนเองในปัจจุบันหรืออนาคตที่จะต้องก้าวทันโลกให้จงได้และจะได้ไม่ถูกขนสนนามว่าเป็นเต่าพันปีที่ไม่ยอมรับการพัฒนาหรือไม่เป็นผู้พัฒนาตนเอง
ในมุมมองของของการบริหารงานการบริหารระบบสารสนเทศการให้ความสำคัญของระบบสารสนเทศระบบอิเลคทรอนิคมีความทันสมัยแต่ก็ยังคงไว้ใจกับระบบสมัยใหม่ที่ยังมีความเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลในกรณีที่เทคโนโลยีเกิดความเสียหาย ยกตัวอย่างกรณีของการเก็บข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ไม่มีความรอบคอบเมื่อมีการบันทึกผลแล้วและไม่มีการปริ๊นซ์เก็บในรูปของเอกสาร วันดีคืนดีเกิดคอมพิวเตอร์มีปัญหาที่จะต้องมีการซ่อมหรือเปลี่ยนซอฟแวร์ขึ้นมาก็ทำให้เครื่องมือหรือข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในเครื่องเสียหายไปด้วยอย่างนี้เป็นต้น ดังนั้นการทำงานกับเทคโนโลยีก็ยังคงต้องอาศัยความรอบคอบของคนเป็นสำคัญในการใช้
การบริหารโรงเรียนที่มีขนาดเล็กทรัพยากรที่ไม่เพียงพอไปทุกเรื่องเช่น ทรัพยากรบุคคลมีน้อย ทรัพยากรทางการเงินก็น้อยตามจำนวนนักเรียนด้วยก็ยิ่งทำให้เกิดปัญหาในการบริหารไปกันใหญ่ ในฐานะของผู้บริหารมีแนวคิดอยู่ว่า การบริหารบนความขาดแคลนนั้นมีความจำเป็นที่จะต้องบริหารระบบสารสนเทศแบบค่อยเป็นค่อยไป มีข้อคิดอยู่ว่าระหว่างคน(บุคลากร)กับเทคโนโลยีสิ่งใดน่าจะมีความสำคัญมากกว่ากันหรือในบางครั้งอาจมีแนวคิดว่าเราควรใช้เทคโนโลยีเข้ามาแบ่งเบาภาระในยามที่ไม่มีคนเพียงพอหรือไม่ เช่นการจัดการเรียนการสอนแบบทางไกลผ่านดาวเทียมคู่ขนานไปกับของมูลนิธิ”กลกังวลจะดีกว่ามั้ย แต่ก็มีจุดด้อยตรงที่ว่า นักเรียนของเรามักจะใช้ภาษาถิ่นในการสื่อสาร นักเรียนของเราจะรับรู้หรือเรียนรู้ได้ทันกับสื่อหรือไม่ หรือว่าเราจะนำเงินอุดหนุนรายหัวไปจ้างครู(บุคลากร)มาช่วยสอนเพื่อเพิ่มจำนวนคนในการทำงานได้มากกว่าหรือไม่อย่างนี้เป็นต้น ทั้งนี้จะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้านที่จะต้องนำมาใช้ในการตัดสินใจ เช่นปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมโรงเรียน ครู นักเรียน คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง เพื่อนำมามาประกอบการตัดสินใจในการจัดซื้ออุปกรณ์หรือเครื่องมือทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สิ่งหนึ่งที่ผู้เรียนมีความนึกคิดอยู่เสมอที่มีความสำคัญต่อการบริหารคือ คน(บุคลากร)ในองค์กรควรที่จะมีขวัญกำลังใจที่ดี เพื่อให้การบริหารงานในทุกด้านรวมถึงการบริหารระบบสารสนเทศให้มีคุณภาพที่ดีที่สุด ผู้เขียนขอยกตัวอย่างบทความเรื่องบทบาทเทคโนโลยีสารสนเทศกับการบริหารการศึกษาให้ท่านผู้อ่านได้ศึกษากันสักบทความหนึ่ง


บทบาทเทคโนโลยีสารสนเทศกับการบริหารการศึกษา
วิทยาการก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร เป็นปัจจัยผลักดันที่ทำให้เกิดการติดต่อสื่อสารระหว่างพลโลก อย่างไร้พรหมแดน (Globalization) อย่างรวดเร็วนำไปสู่การผสมผสานความคิด ค่านิยม ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ระหว่างมวลมนุษย์ชาติ ที่เรียกว่า “กระแสโลกาภิวัฒน์” เทคโนโลยีต่างๆ ได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศ เกิดการแข่งขันในด้านข้อมูลข่าวสาร ด้วยการนำเอาความรู้และเทคโนโลยีเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ เพื่อมุ่ง เป้าหมายความเป็นเศรษฐกิจและสังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ (Knowledge-based Economy/Society)
ประเทศไทยในฐานะที่อยู่ร่วมในสังคมโลก ทำให้ได้รับผลกระทบจากกระแสของโลกาภิวัฒน์ที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว จึงได้กำหนดแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศสำคัญไว้ 5 กลุ่ม คือ เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านภาครัฐ (e-Government) เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านพาณิชย์ (e-Commerce) เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม (e-Industry) เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านการศึกษา (e-Education) และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านสังคม (e-Society) การศึกษาในฐานะกลไกพื้นฐานของการพัฒนาคน เป็นสิ่งที่สังคมคาดหวังว่าจะเป็นเครื่องเตรียมคนและสังคมให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการศึกษาในยุคโลกาภิวัฒน์ จึงเป็นการเตรียมกำลังคนที่มีความฉลาดในการที่จะเป็นบุคลากร นักคิดและนักเลือกข่าวสารข้อมูลมาใช้ในการดำเนินชีวิต การวางแผนเพื่อพัฒนาการศึกษา จึงต้องเน้น การวางแผนในเชิงรุก โดยวิเคราะห์สถานการณ์และแนวโน้มของกระแสโลกที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย และวิเคราะห์สถานการณ์การพัฒนาประเทศไทยโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อม ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเพื่อหาทิศทางการพัฒนา “ คุณภาพคนไทย” อันจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศให้รู้ทันโลก คนมีความสุข ครอบครัวและชุมชนมีสันติสุข การจัดการศึกษาในปัจจุบัน จึงได้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษามาใช้เพื่อเพิ่มทางเลือกในการเรียนรู้ของผู้เรียน เพื่อพัฒนาผู้เรียนในยุคโลกาภิวัฒน์ ให้มีความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลและข่าวสาร รูปแบบวิธีการเรียนการสอนที่เน้นความแตกต่างระหว่างบุคคล มากขึ้น กระบวนการเรียนการสอนเปลี่ยนบทบาทของครูจากการเป็นผู้ให้ ผู้ถ่ายทอด มาเป็นผู้ออกแบบการศึกษา เพื่อพัฒนาคนที่มีความแตกต่างกัน วิถีทางการเรียนรู้เริ่มเข้าสู่ยุคแห่งการใช้ “ เทคโนโลยีเข้มข้น” ในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งไทยเราเองเริ่มมีการนำนวัตกรรมใหม่ทางการเรียนการสอนเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ โดยเฉพาะเทคโนโลยี “ อินเทอร์เน็ต” ได้มีการเห็นความสำคัญในการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และเริ่มวางโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ทางด้านการสื่อสาร และกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนเพื่อให้หน่วยงานทางด้านการศึกษาโดยเฉพาะสถาบันอุดมศึกษาได้ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่มีข้อมูลต่อเชื่อมอยู่ทั่วทุกมุมโลก อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายย่อยจำนวนมาก กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ทำให้ระบบอินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายสื่อสารที่ใหญ่มากจนสามารถตอบสนองความต้องการในการค้นคว้าข้อมูลได้เป็นอย่างดี (วิทยา เรืองพรพิสุทธ์. 2538 : 2) ทำให้เกิดความต้องการในการใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งทรัพยากรเรียนรู้สำหรับผู้เรียน เช่น การจัดระบบห้องสมุด การบริหารงานของฝ่ายธุรการ การค้นคว้าข้อมูล การเรียนการสอนทางไกลโดยใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรข้อมูลข้อสนเทศต่างๆ อย่างเป็นประโยชน์สูงสุด ลดความซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมาตรฐาน ตลอดจนเพิ่มศักยภาพของการให้บริการข้อมูลที่สะดวกและรวดเร็ว ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ และส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาระบบฐานข้อมูล และระบบสานสนเทศต่างๆ ซึ่งจะเป็นฐานสำคัญสำหรับการวิจัยและพัฒนาการศึกษา (Computer Time. 2538 : 18) สำหรับประเทศไทย มีการศึกษาเกี่ยวกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในด้านการศึกษา ดังเช่น การศึกษาของ ทิพวรรณ รัตนวงศ์ (2532) ได้ศึกษาแนวโน้มหลักสูตรสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ในปี พ.ศ.2545 พบว่าการอุดมศึกษาในอนาคตเทคโนโลยีทางการศึกษาจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น การเรียนการสอนไม่จำกัดอยู่เฉพาะในห้องเรียนและภายในสถาบันการศึกษาอีกต่อไป และเรวดี คงสุภาพกุล (2538) ได้ศึกษาการใช้ระบบอินเทอร์เน็ตของนิสิตนักศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่า สาขาวิชาที่ศึกษามีความสัมพันธ์กับความบ่อยในการใช้ นิสิต นักศึกษาสาขาสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ใช้ระบบมากกว่านิสิตนักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์ และเป็นการใช้ตามสาขาวิชาที่ศึกษา คือ นิสิตนักศึกษาสาขาสังคมศาสตร์ และมนุษย์ศาสตร์มีความสัมพันธ์ด้วยกัน จึงใช้ระบบในการคุยกับเพื่อน ในขณะที่นิสิตนักศึกษาสาขาสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์มีความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จึงใช้ระบบในการคุยกับเพื่อน ในขณะที่นิสิตนักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์ จะใช้ในงานบริการค้นคว้างานวิจัยค้นคว้าข้อมูลวิชาการ นิสิตนักศึกษามองเป็นอุปสรรคในการใช้ระบบ คือตัวปัญหาของระบบ เนื่องจากระบบมีการใช้งานในความเร็วต่ำ เมื่อมีการใช้พร้อมๆ กันก็จะเกิดการติดขัดต้องมีระบบช่วยแก้ปัญหา ในปัจจุบันได้มีความพยายามจัดสภาพแวดล้อมทางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อการเรียนการสอนที่เรียกว่า “อีเลิร์นนิ่ง” (e-learning) ซึ่งเป็นการเรียนเนื้อหาหรือสารสนเทศสำหรับการสอนหรือการอบรม ซึ่งใช้นำเสนอด้วยตัวอักษร ภาพนิ่ง ผสมผสานกับการใช้ภาพเคลื่อนไหว วีดิทัศน์และเสียง โดยอาศัยเทคโนโลยีของเว็บ (Web Technology) ในการถ่ายทอดเนื้อหา รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีระบบการจัดการคอร์ส (Course Management System) ในการบริหารจัดการงานสอนด้านต่าง ๆ มีการจัดให้มีเครื่องมือการสื่อสารต่าง ๆ เช่น e-mail, Webboard สำหรับตั้งคำถาม หรือแลกเปลี่ยนแนวคิดระหว่างผู้เรียนด้วยกัน หรือกับวิทยากร การจัดให้มีแบบทดสอบ หลังจากเรียนจบ เพื่อวัดผลการเรียน รวมทั้งการจัดให้มีระบบบันทึก ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการเรียน โดยผู้เรียนส่วนใหญ่แล้วจะศึกษาเนื้อหาในลักษณะออนไลน์ ซึ่งหมายถึงจากเครื่องที่มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ รูปแบบการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนอีเลิร์นนิ่งในประเทศไทย พบว่าแต่ละหน่วยงานได้พัฒนาระบบ จัดการผู้เรียน (LMS : Learining Management System) ระบบจัดการเนื้อหา (CMS : Content Management System) ของตนเอง เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแต่ละหน่วยงานก็ใช้ โปรแกรมเว็บ (Web Programming) แตกต่างกันออกไปทั้ง PHP, ASP, Flash Action Script, JavaScript ทั้งนี้อาจจะจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง หรืออาจจะพัฒนาโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเป็นการส่วนตัวก็ได้ เนื่องจากปัญหาส่วนใหญ่จะมาจากการขาดงบประมาณและการสนับสนุนที่เป็นรูปธรรมจากผู้บริหาร นอกจากนี้มีบริษัทภายในประเทศไทยที่พัฒนาซอฟต์แวร์บริหารจัดการการเรียนชื่อ Education Sphere (http://www.educationsphere.com/) คือบริษัท Sum System จำกัด ที่พัฒนา LMS Software ออกมาให้จำหน่ายและพัฒนาให้กับมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นหน่วยงานแรก รวมทั้งศูนย์การศึกษาต่อเนื่องแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็พัฒนาโปรแกรมจัดการหลักสูตรเนื้อหาวิชา และการจัดการเรียนการสอนชนิด การเรียนผ่านเว็บ (Web-base Instruction) โดยตั้งชื่อโปรแกรมว่า Chula E-Learning System (Chula ELS) ออกมาให้บริการ ความพยายามในการเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาจากแนวคิดของ แฮนแสน ซิลเวอร์ และสตรอง (Hansen, Silver and Strong) ได้แบ่งรูปแบบการเรียน (Learning Styles) ของผู้เรียนโดยทั่วไปออกเป็น 4 ประเภท คือประเภทที่ชอบการเรียนการตรง (Directive) ประเภทที่ชอบการเรียนแบบค้นคว้าด้วยตนเอง (Inquiry) ประเภทที่ ชอบการเรียนแบบสร้างสรรค์ (Creative) และประเภทที่ชอบการเรียนแบบร่วมมือกันทำกิจกรรมเป็นกลุ่ม (Cooperative) ผู้เรียนทุกคนจะมีรูปแบบการเรียนรู้ทั้ง 4 แบบอยู่ในตัวเอง แต่จะมีลักษณะเด่นในรูปแบบหนึ่งเป็นพิเศษมากกว่ารูปแบบอื่น ดังนั้นแม้ว่าจะต้องเรียนในรูปแบบที่ผู้เรียนไม่ชอบหรือไม่ถนัดก็ยังสามารถเรียนรู้ได้ แต่จะเรียนไม่ได้ดีเท่ากับการเรียนในรูปแบบที่ผู้เรียนชอบหรือถนัด ซิลเวอร์ยังได้ชี้ให้เห็นว่าการกำหนดให้นักศึกษาเรียนในรูปแบบที่เหมาะกับธรรมชาติของนักศึกษา จะเหมือนกับการบังคับให้นักศึกษาเรียนในรูปแบบที่ไม่เหมาะกับธรรมชาติของนักศึกษา จะเหมือนกับการบังคับให้นักศึกษาเขียนหนังสือด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด นั่นเอง ซึ่งส่งผลให้มีนักศึกษาจำนวนมากที่ถูกจัดให้เป็นคนอ่อนนั้น เป็นเพราะว่านักศึกษาเหล่านี้ต้องเรียนรู้ในรูปแบบหรือวิธีการที่ไม่เหมาะสมกับพวกเขานั้นเอง (Perrin. 1994 : 140)
สำหรับประเทศไทยแม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดการสอนแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) เต็มหลักสูตร แต่ก็ได้เริ่มนำแนวคิดดังกล่าวมาจัดการเรียนการสอนแล้ว เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ได้กำหนดเป็นนโยบายในระบบการศึกษาไร้พรมแดน แผน มทส. (วิจิตร ศรีสอ้าน. 2541) ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินโดยเริ่มสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต แต่ยังไม่ได้ดำเนินการสอนแบบเต็มหลักสูตร ส่วนมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชก็ได้จัดทำโครงการศึกษาทางไกลผ่านวิทยาเขตเสมือนจริง (Virtual University) โดยมีเป้าหมายที่จะทดลองใช้กับนักศึกษาปริญญาโทบางหลักสูตรในปีการศึกษา 2543 และจะขยายใช้กับนักศึกษาปริญญาโททั้งหมด ในระยะต่อไป รวมทั้งการเปิดสอนระดับปริญญาตรีบางหลักสูตรด้วย (มหาวิทยาสุโขทัยธรรมธิราช. 2541) แต่อย่างไรก็ตามการดำเนินการของทั้ง 2 มหาวิทยาลัยนี้เป็นการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตบางรายวิชาเท่านั้น มิได้ดำเนินการจัดการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเต็มหลักสูตร
การเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) จะสามารถช่วยบรรเทาปัญหาต่างๆ ของการศึกษาในระดับอุดมศึกษา เช่น ปัญหาด้านสถานที่เรียนในมหาวิทยาลัยไม่เพียงพอความต้องการของผู้สมัครเรียน ทำให้ต้องจำกัดจำนวน ในการรับเข้าเรียน แต่การเรียนในห้องเรียนเสมือนจริง นักศึกษาไม่ต้องใช้สถานที่เรียนในมหาวิทยาลัย แต่เรียนจากที่บ้านหรือที่ทำงานจึงสามารถรับนักศึกษาได้เป็นจำนวนมาก และรับได้กระจายทั่วไปจึงช่วยลดปัญหาด้านการกระจุกตัวของมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งรวมกันอยู่ในเมืองใหญ่ในตัวเมือง ทำให้นักศึกษาที่อยู่ในชนบทไม่สะดวกในการเดินทางไปเรียนที่มหาวิทยาลัยและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก แต่นักศึกษาที่เรียนผ่านระบบการการเรียนการสอนอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) ไม่ต้องเดินทางไปรวมกันที่มหาวิทยาลัย จึงบรรเทาปัญหาการเดินทางไปได้มาก และยังแก้ปัญหาข้อจำกัดด้านเวลาที่มหาวิทยาลัยปกติจะต้องเรียนในเวลาเดียวกันตามที่กำหนด ไม่สามารถสับเปลี่ยนหรือเลื่อนได้ แต่ในการเรียนการสอนอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนในเวลาที่สะดวกได้ซึ่งมีความยืดหยุ่นทางด้านเวลาสูง นอกจากนั้นการมีโอกาสได้ใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา จะช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และมีความชำนาญในการใช้เทคโนโลยี เมื่อออกไปทำงานจะสามารถทำงานได้ทันที ด้วยเหตุผลและความจำเป็นดังกล่าว นักการศึกษาจึงมีความพยายามที่จะจัดระบบการเรียนการสอนอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) ที่เหมาะสมกับการศึกษายุคปัจจุบัน
อ้างอิงจาก

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

การเดินทางบนเส้นทาง ๑,๒๑๙ โค้ง เส้นทางสายอุ้มผาง-แม่สอดในระยะเวลา ๑๕ ปีกว่าๆ กับการทำหน้าที่เป็นแม่พิมพ์(พ่อ)ของชาติ บนความยากลำบากของเด็กน้อยดวงตาใสซื่อที่แฝงไว้ด้วยความหวังอันเลือนลางกับวัฒนธรรมท้องถิ่นที่แตกต่างของชนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ๑๐๐% แต่ไม่แตกต่างตรงความเป็นมนุษย์(ความเป็นคน)ใครบ้างจะรู้ว่าในประเทศไทยของเราจะมีความกันดารที่ห่างไกลความเจริญไกลปืนเที่ยงเช่นนี้ หลายคนบอกว่าเรายากลำบากเหลือเกิน เรามีความทุกข์เหลือเกิน แต่ที่คนกะเหรี่ยงที่นี่มีความทุกข์มากกว่าพวกเราหลายร้อย หลายพันเท่า จนยากที่จะบรรยายเป็นตัวหนังสือสื่อออกมาให้เห็นได้(บรรยายไม่เก่ง)
ผมเป็นคนหนึ่งที่มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ช่างทุกข์ยาเหลือเกิน แต่เมื่อเทียบกับชีวิติของเด็กๆที่นี่แล้วชีวิตของเราลำบากไม่ได้ครึ่งของชีวิตพวกเขาเลย ผมไม่เคยมีความติดที่อยากจะอยู่ที่นี่(แม่จัน)เลยเพราะบรพบุรุษของผมไม่ใช่กะเหรี่ยง จึงมีความคิดว่าอยู่ไม่ได้แน่ๆเมื่อแรกมาบรรจุใหม๋ๆคิดอยู่อย่างเดียวคือ เมื่ออยู่จนครบทดลองงานแล้วเราต้องเขียนย้ายกลับบ้านให้จงได้ นั่นเป็นความคิดเมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว ด้วยความที่เป็นลูกชาวไร่ชาวนาไม่มีเส้นสาย ไม่มีญาติพี่น้องที่เป็นใหญ่เป็นโตกับเขา เขียนย้ายกลับบ้าน(อุตรดิตถ์)สามถึงสี่ครั้งก็ไม่มีผลอะไรใดๆเกิดขึ้น เลยตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า "อยู่ที่ไหนๆก็คือประเทศไทยเหมือนกัน คนอยู่ได้ไม่ตาย เราก็คงไม่ตาย" นี่คือความคิดหลังจากที่อยู่ใช้ชีวิตกับกะเหรี่ยงได้ ๓-๔ ปี /จบตอนที่๑

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ชื่อโครงการ กองทุนเศรษฐกิจพอเพียงในโรงเรียน
แผนงาน งานวิชาการ
ผู้รับผิดชอบโครงการ นายธงชาติ สอนคำ
ระยะเวลาดำเนินการ ปีงบประมาณ 2553

1. หลักการและเหตุผล
นักเรียนโรงเรียนบ้านบ้านกล้อทอได้จัดตั้งกลุ่มรวมกันเป็นชุมนุมเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อสนองแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ห้วเกี่ยวกับหลักการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยกิจกรรมของกลุ่มได้แบ่งออกเป็นสายการพอเพียงในหลายเรื่องเช่น การปลูกสบู่ดำเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทนน้ำมันดีเซล(ใบโอดีเซล) โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากโครงการ พพพ.ของกอ.รมน.ในการจัดซื้อพันธุ์กล้าสบู่ดำและเครื่องบีบน้ำมันสบู่ดำในวงเงิน 200,000 บาท (กลุ่มผู้ปลูกสบู่ดำติดตั้งเครื่องมือและอุปกรณ์ไว้ในโรงเรียนเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ของนักเรียน)มีการบริหารงานในรูปแบบของกลุ่มจำนวน 40 คน
กลุ่มเลี้ยงปลาดุกได้ใช้สถานที่สระน้ำของโรงเรียนบ้านกล้อทอเพื่อส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้ทรัพยากรที่มีในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์และเพื่อการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ของนักเรียนและผู้ปกครอง
กลุ่มศึกษาการทำก๊าซชีวภาพ เป็นการส่งเสริมให้นักเรียนได้นำมูลสัตว์ที่คนส่วนใหญ่จะทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์หรือหรือจะนำมูลสัตว์ไปทำปุ๋ยในเชิงการเกษตรก็ต้องรอเวลาเป็นปีจึงจะนำไปใช้ได้จึงควรนำมาทำให้มูลสัตว์หมดก๊าซก่อน นั่นคือการนำมาผลิตเป็นก๊าซชีวภาพใช้ในการหุงต้มหรือนำมาปั่นไฟใช้ในครัวเรือนก่อนที่จะนำไปทำปุ๋ยในทางการเกษตรต่อไป
กลุ่มผู้เลี้ยงหมูก็เป็นการปลูกจิตสำนึกในการลดรายจ่ายเพิ่มรายได้เช่นกันกับการเลี้ยงปลาเช่นกัน เนื่องจากราคาเนื้อหมูในท้องตลาดทั่วไปมีราคาค่อนข้างสูงอย่างต่อเนื่องและอาจเป็นการส่งเสริมให้นักเรียนใช้เวลาให้เกิดประโยชน์อีกทางหนึ่งได้ด้วย ฯลฯ


2. วัตถุประสงค์
3.1 เพื่อเป็นกองทุนส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไม่เป็นการสูญเปล่า
3.2เพื่อปลูกฝังการรักษาพลังงาน
3.3 เพื่อรองรับการใช้พลังงานทดแทน
3.4 เพื่อให้นักเรียนเห็นความสำคัญของพลังงานทดแทน
3.5 เพื่อให้สมาชิกมีความรู้เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากพืชสบู่ดำ+มูลสัตว์+ทรัพยากรในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์
3.6 เพื่อให้สมาชิกของกลุ่มได้นำไปสู่การปฏิบัติในการเพิ่มผลผลิต

3. เป้าหมาย
3.1 นักเรียนชุมนุมเศรษฐกิจพอเพียงจำนวน 50 คน

4. ระยะเวลาการดำเนินการ ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2552-มีนาคม 2553
5. สถานที่ในการจัดกิจกรรมชุมนุมโรงเรียนบ้านกล้อทอ
6. งบประมาณที่ใช้
งบประมาณ
6.1 จัดซื้อพันธุ์หมูพื้นเมือง 10 ตัว +อาหาร ราคา 12,000 บาท
6.2 จัดสร้างบ่อก๊าซชีวภาพ 1 บ่อ + อุปกรณ์ ราคา 35,000 บาท
6.3 จัดซื้อพันธ์ปลาดุก 2,000 ตัว + อาหาร ราคา 15,000 บาท
6.4 เมล็ดผัก + ปุ๋ย + อุปกรณ์ ราคา 8,000 บาท
รวมทั้งสิ้น 70,000 บาท
6. ผลที่คาดว่าจะได้รับ
เมื่อดำเนินการแล้วจะเกิดผลต่อสมาชิกกลุ่มชุมนุมเศรษฐกิจพอเพียง (สบู่ดำ+เลี้ยงปลา+ก๊าซชีวภาพ+เกษตรพอเพียง)ดังนี้
1. นักเรียนมีความตระหนักในการอนุรักษ์พลังงานมากขึ้น
2. นักเรียนรู้จักหาพลังงานทดแทนมาใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น
3. นักเรียนมีความคิดมากขึ้นเกี่ยวกับการใช้พลังงาน
4. นักเรียนสามารถเพิ่มผลผลิตในด้านพืชพลังงานมากขึ้น
5. เกิดเงินกองทุนหมุนเวียนไม่สูญเปล่า
7. การวัดผลประเมินผล
- ประเมินผลจากการปฏิบัติงานของนักเรียน
- ประเมินการใช้พลังงานของนักเรียนที่บ้าน
- ประเมินจากผลผลิตที่นักเรียนได้ปฏิบัติ



(ลงชื่อ).............................................ผู้เสนอโครงการ
(นายธงชาติ สอนตำ)
ครู คศ.2 โรงเรียนบ้านกล้อทอ



(ลงชื่อ).............................................ผู้เห็นชอบโครงการ
(นายอดิศร บุญปาล)
ผู้อำนวยการ โรงเรียนบ้านกล้อทอ




(ลงชื่อ).............................................ผู้อนุมัติโครงการ
(นายชาตรี ทัศนีย์พานิช)
นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลแม่จัน

รายงานการใช้ทรัพยากรทางการศึกษาจากชุมชน
โครงการกองทุนหมุนเวียนเศรษฐกิจพอเพียง
โรงเรียนบ้านกล้อทอ







โดย
นายธงชาติ สอนคำ รหัสนักศึกษา 519280262
เสนอ
อาจารย์ ดร.นิพนธ์
รหัสวิชา 1065213 : การบริหารทรัพยากรทางการศึกษา (Administration of Educational Resources)




คำนำ
การบริหารการศึกษาหรือหารบริหารโรงเรียนถือเป็นศาสตร์และเป็นศิลป์ของผู้บริหารที่จะต้องมีการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้งานของการศึกษาหรือของโรงเรียนสามารถขับเคลื่อนไปตามความต้องการของ พรบ.การศึกษา หรือเป็นตามเป้าหมายที่วางไว้ให้จงได้ ดังนั้นการบริหารทรัพยากรที่มีอยู่ในโรงเรียนหรือชุมชนหรือหน่วยงานอื่นที่อยู่ในพื้นที่ ถือได้ว่าเป็นทรัพยากรอย่างหนึ่งที่ผู้บริหารสามารถที่จะนำมาเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้ความขาดแคลนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น




นายธงชาติ สอนคำ
ผู้รับผิดชอบโครงการ


















นักเรียนกำลังหมักแก๊ส




แก๊สที่ได้จากการหมักไว้ ๗ วัน

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

รูปภาพจากฝีมือลูกสาวของตัวเอง

ธงชาติ สอนคำ โรงเรียนบ้านกล้อทอ ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก 63170