วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เศรษฐกิจพอเพียง ต้นแบบ Green Economic “เศรษฐกิจของเราขึ้นอยู่กับการเกษตรมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว รายได้ของประเทศได้มาใช้สร้างความเจริญด้านต่างๆ เป็นรายได้จากการเกษตรเป็นส่วนใหญ่ จึงอาจกล่าวได้ว่าความเจริญของประเทศต้องอาศัยความเจริญของการเกษตรเป็นสำคัญและงานทุกๆ ฝ่ายจะดำเนินก้าวหน้าไปได้ก็เพราะการเกษตรของเราเจริญ” พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การพยายามเปลี่ยนเกษตรกรให้เป็นพ่อค้า ทำให้ประเทศไทยเกือบจะล้มไม่เป็นท่า การมองหาทางออกที่ดีจึงเริ่มขึ้น ด้วยการหันกลับมามองที่รากฐานเดิมของคนไทยที่ผู้คนแต่ดั้งเดิมมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ทำการเกษตรเพื่อเลี้ยงตัวเองและรู้จักแบ่งปัน รัฐบาลจึงจัดตั้งโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนและให้มีสำนักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน หรือ สพช. เป็นหน่วยงานภายในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อมุ่งขับเคลื่อนไห้ทุกภาคส่วนในหมู่บ้านและชุมชน ร่วมกันบริหารจัดการและพัฒนาศักยภาพของตนเองที่มีอยู่เดิมให้มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้นเพื่อสร้างงานสร้างรายได้ ลดต้นทุนและปัจจัยการผลิตทางการเกษตร พัฒนาทรัพยากรธรรมชาติระดับชุมชนให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น และสร้างโอกาสในการพัฒนาหรือเพิ่มขีดความสามารถในการเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจในระดับฐานรากให้กับหมู่บ้าน และชุมชนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัส เรื่องแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงตั้งแต่ปี พ.ศ.2517 เป็นต้นมา พระองค์ทรงเน้นย้ำหลักการพัฒนาบนฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ ยึดหลักการทรงงานที่ถือผลประโยชน์ของประชาชน ภูมิสังคม การพึ่งตนเองเป็นฐานรากที่สำคัญ นอกจากนั้น ยังทรงเน้นย้ำเรื่องการพัฒนาศักยภาพของคนในทุกมิติการพัฒนา แบบองค์รวมและการพัฒนาแบบบูรณาการ การจัดทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน เช่น การใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติภายใต้โครงการปลูกป่า 3 อย่าง แต่ได้ประโยชน์ 4 อย่าง และส่งเสริมการปลูกพืชพลังงานด้วยวิธีเกษตรอินทรีย์ เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติภัยแล้ง ลดพื้นที่การปลูกพืชเศรษฐกิจต่างถิ่น และสนับสนุนให้ปลูกพืชพลังงานทดแทนเพื่อการพึ่งพาตนเอง ลดการนำเข้าพลังงานน้ำมันจากต่างชาติแนวทางเหล่านี้ล้วนเป็นหลักการและวัตถุประสงค์ของการ จัดตั้งโครงการ “ชุมชนพอเพียง” ในคอนเซปต์คิดอย่างยั่งยืนของรัฐบาลชุดนี้ทั้งสิ้น แต่ก่อนที่จะมีโครงการนี้ขึ้นมาอย่างจริงจัง อาจารย์วิวัฒน์ ศัลยกำธร หรือ อาจารย์ยักษ์ ผู้ซึ่งทำงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทมากว่า 16 ปี โดยรับใช้ใกล้ชิดกับพระองค์ท่านในหน่วยงานสำนักงานคณะกรรมการพิเศาเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ได้สัมผัสกับชีวิตของเกษตรกรในทั่วภูมิภาคของประเทศ ซึ่งได้พบกับปัญหาต่างๆ ของเกษตรกรไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดินทำกิน ความยากจน ความรู้ในเรื่องการเกษตร ตลอดจนปัญหาสุขภาพ การศึกษา และอื่นๆ ประกอบกับที่ได้ถวายการรับใช้พระองค์ท่าน ได้เห็นพระองค์ท่านทุ่มเทพระวรกาย กำลัง ทุนทรัพย์ อีกทั้งเวลาส่วนใหญ่ให้กับการพัฒนา ค้นคว้า และทดลองในสิ่งต่างๆ ภายใต้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับเกษตรเป็นส่วนใหญ่ ทั้งการเลี้ยงสัตว์ ปลูกพืช ทำนาข้าว การปรับปรุงดิน และน้ำ การศึกษาการปลูกป่า และพืชสมุนไพร การปลูกแฝก โรงสี และเทคโนโลยีชีวภาพ การวิจัยเรื่องพลังงานและโครงการอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งทรงลงมือปฏิบัติด้วยพระองค์เอง ขอบคุณข้อมูลจากนิตยสารVote